เทศน์เช้า

ปัจจุบันพระอรหันต์มี

๒๑ ส.ค. ๒๕๔๓

 

ปัจจุบันพระอรหันต์มี
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เชื่อกันอย่างนั้น เห็นไหม ความเชื่อของการศึกษามา ความเชื่อของเขา ในพระอภิธรรมบอกว่าการจะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาอย่างพระพุทธเจ้า ต้องสร้างบารมีมา ๔ อสงไขยแสนมหากัป แล้วชีวิตของพวกเราจะสร้างบารมีมาได้ขนาดนั้นเหรอ ตรงนี้ทำให้เขาขาอ่อนกันไง แต่เขาไม่ได้ไปมองในพระไตรปิฎก เวลาพระไตรปิฎกนะ นี่ดู ดูไม่รอบ ถ้าดูรอบขึ้นมา เห็นไหม พระอานนท์ถามพระพุทธเจ้าตอนปรินิพพานไงว่า “เมื่อไหร่มันจะหมดเขตหมดสมัย พระอรหันต์จะหมดไป”

พระพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎก “อานนท์ เธออย่าถามให้มากความไปเลย เราบอกเธอไว้แล้วไม่ใช่หรือ ถ้าผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ในโลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย”

จะตอนไหนก็แล้วแต่ แม้แต่นะ แม้แต่ถ้าศาสนาไม่มี คือว่าคำสอนไม่มี ผู้ที่สร้างบุญญาธิการมาก็จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ถ้าตรัสรู้เองนี่ได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าใช่ไหม แต่ในสมัยปัจจุบันนี้มีศาสนาวางอยู่ ใครจะประพฤติปฏิบัติ คนคนนั้นก็ต้องมาได้ยินได้ฟังเป็นสาวกะ

เป็นพระอรหันต์นะ พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า พระอัครสาวก นี่บริสุทธิ์ เสมอกันด้วยความบริสุทธิ์ ด้วยความเป็นพระอรหันต์ ต่างกันด้วยบุญญาธิการ อย่างพระพุทธเจ้าจะสอนได้มาก จะรู้ไปหมด อย่างเอตทัคคะต่างๆ ๘๐ องค์ พระพุทธเจ้าเป็นคนตั้ง พระพุทธเจ้าต้องมีมากกว่า ๘๐ มีทุกอย่าง พระพุทธเจ้ารู้หมด แล้วบอกว่า พระสารีบุตรเป็นเลิศทางปัญญา พระพุทธเจ้าเหนือกว่า พระโมคคัลลานะเลิศทางฤทธิ์ พระพุทธเจ้าเหนือกว่า เพราะผู้ที่จะชี้บอกเขาว่าคนนี้เลิศทางไหน ต้องมีภูมิไปจับเขา ต้องมีมากกว่า นี่บารมีของพระพุทธเจ้า นี่ต่างกันตรงนี้

พระปัจเจกพุทธเจ้าก็รู้ตรงนี้เหมือนกัน รู้นะ พระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะถือว่าเป็นพระพุทธเจ้า แต่การอธิบาย เพราะว่าการสั่งสมบารมีมาต่างกันตรงนั้น ต่างกันที่การสะสมบารมีมา ความแตกฉานมันต่างกัน สติปัญญามันสะสมมาต่างอดีตชาติ ต่างสะสมมาตั้งแต่มากมายมหาศาล สะสมมาตลอด แล้วพอมาตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ความสะอาดบริสุทธิ์นั้น ใจนั้นสะอาดบริสุทธิ์ สามารถกำหนดรู้สิ่งใดๆ ทั้งสิ้น รู้เข้าไป กำหนดดวงใจของคนอื่น แต่นี่พระพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวกน้อยลงมาหน่อยหนึ่ง แต่ต้องปรารถนา นี่พระอรหันต์ขึ้นมา พระอรหันต์แต่ละองค์นี่พระอรหันต์ด้วยกันทั้งหมด

ทีนี้พระอรหันต์ขึ้นมานี่เป็นสาวกะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟัง นี่เสมอกัน คือเราจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ต้องจบมาด้วยเหมือนกันหมด ถึงจบจากมหาวิทยาลัยนั้น แต่เอกหรือว่าวิชาการต่างๆ ที่เรียนมานี้ไม่เสมอกันในมหาวิทยาลัยนั้น ความสะอาดบริสุทธิ์เสมอกันด้วยพระอรหันต์ นี่เสมอกัน พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระอรหันต์เสมอกันด้วยความบริสุทธิ์

ถึงว่า พระอรหันต์ พระพุทธเจ้าไม่สงสัยในธรรมอันนั้นเลย ในธรรมที่ว่าเสมอกันๆ แต่พระอรหันต์บริสุทธิ์ด้วยใจบริสุทธิ์เฉยๆ ก็มี แล้วไม่รู้เลย ดูอย่างเช่นพระจักขุบาล พระจักขุบาลนี้เป็นพระอรหันต์ อยู่ในพระไตรปิฎก นี่บอกว่าเป็นพระอรหันต์แน่นอนเลย แต่เวลาตานี่แตกพร้อมกับความเป็นพระอรหันต์ นี่สาวกะสาวก เป็นพระอรหันต์บริสุทธิ์เสมอกันด้วยความบริสุทธิ์แบบพระพุทธเจ้า แต่พอเดินกลับ เห็นไหม ไปสำเร็จอยู่ที่อีกเมืองหนึ่งไง แล้วพระที่ไปด้วยกันสำเร็จหมด จะกลับ แต่พระจักขุบาลตาบอด กลับมาไม่ได้ เดินไม่ได้ หมู่สหธรรมิกกลับไปบอกลุงไง ไปฝึกเณร ฝึกหลาน ให้หลานมาจูงกลับ เห็นไหม จูงเดินกลับจากเมืองหนึ่งไปเมืองหนึ่ง พระตาบอด แต่ในหัวใจเป็นพระอรหันต์ แต่กลับอย่างนี้ต้องให้คนมาพากลับ

นี่ถึงว่าไม่มี ความไม่มีนะ พระจักขุบาลเป็นแบบสิ้นไปเฉยๆ เป็นสุกขวิปัสสโก ความต่างกันแม้แต่ในสมัยพุทธกาลก็มีอยู่แล้ว แล้วยิ่งมาปัจจุบันมาต่อไป ความไม่รู้ของพระอรหันต์ ไม่รู้ในอะไร

ในมิลินทปัญหาถามไว้พระนาคเสน “พระอรหันต์หลงในอะไร กับไม่หลงในอะไร”

“พระอรหันต์หลงในบัญญัติ” พระอรหันต์สวดมนต์ผิดได้ สวดมนต์นี่ผิด สวดมนต์ไปเพราะมันเป็นบัญญัติ เป็นสูตร เป็นมาตรา แล้วเราท่องผิด การท่องนี้มันเป็นเปลือก มันเป็นอารมณ์ เป็นความคิด ความปรุง แต่พระอรหันต์ไม่สงสัยเลย ไม่ลืมเลย ไม่คลาดเคลื่อนเลยจากอริยสัจ นี่อยู่ในมิลินทปัญหา “พระอรหันต์จะไม่คลาดเคลื่อนจากอริยสัจ อริยสัจความจริงในหัวใจ” ในหัวใจที่รู้อยู่มันเป็นอริยสัจ มันเป็นความฝังใจ มันจะไม่คลาดเคลื่อนจากนั้น มันรู้โดยธรรมชาติ มันจะไม่มีความขยับเขยื้อนอีกเลย เพราะมันสมุจเฉทปหานตั้งแต่ตอนสิ้นจากกิเลสแล้ว จะเป็นพระอรหันต์ล้วนๆ แล้วไม่มีพลาดจากตรงนี้อีก เป็นอกุปปธรรม ถึงจะไม่เคลื่อนจากตรงนั้นเลย พระอรหันต์ถึงไม่หลงตรงนั้นไง

แต่ในบัญญัติ ในสมมุติ นี่พระอรหันต์หลงได้ ความหลงนี่ คำว่า “หลง” มันจะรุนแรงเกินไป ความเผลอคือว่าความไม่รู้ ไม่รู้ในสิ่งนั้นใช่ไหม เพราะหนทางที่ไม่รู้ มันต้องพลาดได้ ข้างนอกนี่มันพลาดที่ตรงนั้น

นี่ความเสมอกันไง เขาบอกว่าไม่มี ความว่าไม่มี แล้วก็ถามด้วยว่า ศรัทธานี่พระอรหันต์มีไหม ขาดตั้งแต่ตอนไหน? ขาดหมดนะ ศรัทธา เห็นไหม ศรัทธาเริ่มต้นเป็นศรัทธาธรรมดา ศรัทธาพวกเรานี่ศรัทธา พอเริ่มต้นขึ้นมาเป็นพระโสดาบัน มันเป็นอจลศรัทธา พระโสดาบันจะเป็นเรื่องอจลศรัทธา คือศรัทธานี่ พระโสดาบันไม่ถือมงคลตื่นข่าว จะถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งแน่นอน จะไม่แยกออกไปจากนั้น นี่ถึงเป็นอจลศรัทธา

อจลศรัทธา คือศรัทธากับในหัวใจมันเป็นเนื้อเดียวกัน คือว่ามันจะเอาแต่ผลข้างหน้าให้ได้ ประพฤติปฏิบัติไปนี่มันจะเอาถึงที่สุดให้ได้ มันจะทุ่มทั้งชีวิตไง พวกนี้พวกสละชีวิตได้ทั้งหมดเลย คนที่สละชีวิตได้นี่ไม่เห็นอะไรมีคุณค่ากับการเข้าไปหาธรรมดวงนั้น นี่เป็นอจลศรัทธา พอไปถึงที่สุดแล้ว ทีนี้มันขับเคลื่อนให้ก้าวเดินขึ้นไป จิตนี้พยายามก้าวเดินขึ้นไปถึงจุด พอหมดแล้วมันหมดกัน นี่ความศรัทธาความอะไรนะ

ความศรัทธาความเชื่อมันก็ต้องหวังผลตอบแทน หวังผลตอบแทนคือว่าบุญกุศลนี่เราศรัทธาในบุญกุศล สร้างบุญแล้วต้องได้บุญ ความศรัทธานี่มันมีความหวัง ถ้าพูดประสาเรานะ ความมีศรัทธาคือมีความหวัง มีความเชื่อในสิ่งต่างๆ ความเชื่อคือความศรัทธา ก็ความหวัง ความอยากได้สิ่งนั้น แต่พระอรหันต์จะมีสิ่งนั้นได้อย่างไร มันต้องขาดหมด

มันถึงว่า แล้วมันสื่อออกมาได้อย่างไร เวลาสื่อออกมานะ พระพุทธเจ้าปรินิพพานตั้งแต่วันเพ็ญเดือน ๖ วันวิสาขบูชา แล้วอีก ๔๕ ปี พระพุทธเจ้าเทศน์สอนตลอดไปเลย เห็นไหม ถึงว่า เป็นสอุปาทิเสสนิพพานกับอนุปาทิเสสนิพพานไง

สอุปาทิเสสนิพพาน คือมีขันธ์ ๕ คือสัญญา ความจำ มีขันธ์ มีเวทนา มีความรับรู้ ความรับรู้นี้เป็นเศษส่วน เศษส่วนหมายถึงว่า กิเลสเมื่อก่อนมันผูกมัด อย่างขันธมาร เห็นไหม ความคิดกับเรานี่เป็นอันเดียวกัน แต่พอวิปัสสนาเข้าไป มันจะขาดออกจากกัน พอความขาดออกจากกัน มันขาดมีอยู่ ถึงว่าเป็นเศษส่วน เศษส่วน เห็นไหม เศษส่วนของพระอรหันต์คือว่า เครื่องมือดำเนินใช้มันยังมีใช้อยู่ ก็ใช้อันนั้นสื่อออกมาๆ สื่อเฉยๆ ไง การสื่อเฉยๆ ไม่ได้สื่อด้วยศรัทธาด้วยอะไร เพราะมันพร้อมหมด ใจดวงนั้นมันพร้อมอยู่แล้ว แล้วสื่อนี่สื่อเพื่ออะไรถ้าไม่หวังสิ่งใดๆ

สื่อด้วยความเมตตา จิตนั้นมีแต่ความเมตตามาก เหมือนกับพระพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลาตรัสรู้แล้วยังบอกว่า “โอ้โฮ! จะสอนใครได้อย่างไร” ขนาดว่าคนตั้งใจปรารถนามาเพื่อจะมาช่วยคนทั้งหลายนะ แต่พอไปรู้ธรรมเข้า “แล้วใครมันจะสามารถเข้าไปรู้ได้ สามารถเข้าไปรู้ได้” แต่คนที่สร้างคุณงามความดีมา เหมือนโลกนี้ คนดีมีมาก คนเลวก็มีเยอะ มันมีเลวมีดีปนกันไป ปัญญาของคนก็เหมือนกัน ปัญญาของคนที่หวังจะออกมันก็ยังมีอยู่ คนที่หวังจะออก หวังจะพ้นไป ถึงว่า ถ้าสอนคนอย่างนั้น ถ้าคนอย่างนั้นเขาพร้อม แล้วบุญญาธิการของเขานะ พอมาเจอเข้า มันใฝ่ใจ

อย่างเช่น เรามีศรัทธา นี่เราใฝ่ใจ การใฝ่ใจอยากประพฤติปฏิบัติ อันนั้นก็คืออำนาจวาสนานะ ถ้าคนไม่สนใจเลย ถ้าอย่างข้างนอก อย่างหมอ เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วย เขาต่อต้านขนาดไหน ให้น้ำเกลือให้เลือดมันยังให้ได้ แต่ถ้าหัวใจไม่ต้องการนะ หัวใจนี้ปฏิเสธแล้วนะ ปฏิเสธนี่ตาย เพราะเรื่องของใจมันเข้าไม่ได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอก “เป็นผู้ชี้บอก” เรื่องของธรรมจะยัดเยียดกันไม่ได้ ยัดเข้าไปก็ไม่ได้ ต้องเปิดตาใจก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศน์สอนคนถึงบอก เวลาคนที่เข้าใจแล้วจะสรรเสริญมากว่า “เหมือนกับทำของที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น” หัวใจที่ปิดอยู่มันจะเปิดออก

ถ้าหัวใจที่ปิดอยู่ คือว่ามันปฏิเสธอยู่ลึกๆ ทิฏฐิมานะมันไม่รับ พอไม่รับ จะมีเหตุผลขนาดไหนก็เข้ามาไม่ได้ ตกอยู่ตรงนั้นนะ เพราะมันปฏิเสธ มันเข้าไม่ถึงเลย ถ้าใจไม่ยอมรับนะ แล้วถ้าใจยอมรับ แล้วพวกเรานี่ใจยอมรับ พอใจยอมรับ มันก็เหมือนกับคนไข้ปรารถนาหายา วิ่งไปหายา มันต้องมีโอกาสรักษาสิ ศรัทธาความเชื่อของเราถึงว่าเป็นอำนาจวาสนา

เขาไม่เชื่อตรงนี้ไง เขาบอกว่าพระอรหันต์ไม่มี ถ้าไม่มี นี่มันขัดกับพระไตรปิฎก หนึ่ง

สอง ขัดกับหลักความจริงหนึ่ง

หลักวิทยาศาสตร์นี่ ความร้อนเกิดขึ้นต้องให้พลังงาน จิตที่ภาวนาอยู่ จิตที่ไขว่คว้าอยู่ จิตที่พยายามทำอยู่มันต้องมีเหตุมีผล ต้องพัฒนาขึ้นไป มันไปขัดกับหลักกลศาสตร์ง่ายๆ เลยว่า การขับเคลื่อนไป อากาศขับเคลื่อนไป มันมีแรงเสียดสี แรงต้านทาน ใจที่ประพฤติปฏิบัติ พยายามค้นคว้าหาขึ้นมา มันง่ายๆ หลักกลศาสตร์นี่โดยธรรมชาติของมันมีอยู่ แล้วใจนี่ การวิปัสสนา การก้าวเดินนะ มันยิ่งกว่าการขับเคลื่อนอีก มันจะหมุนมาก ใจมันจะหมุนติ้วๆๆ

ใจที่หมุนติ้วๆ ไปอย่างนั้น แล้วบอกมันจะไม่มีผล มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ พอมันเป็นไปไม่ได้ แต่เวลาเราไปศึกษา เห็นไหม ในหลักของปริยัติเขาบอกไว้อยู่ การศึกษา ศึกษาแบบหญ้าคา เห็นไหม จับหญ้าคาไม่แน่นแล้วรูดหญ้าคามา หญ้าคาจะบาดมือ

การศึกษามาเหมือนกัน การศึกษาธรรมะเข้ามา ศึกษามาไม่ดี ควรที่จะเป็นประโยชน์กับเรากลับเป็นโทษ เห็นไหม เป็นโทษหมายถึงว่า ศึกษาไปเถิด เราทำของเราไป ทำสักแต่ว่าทำ ไม่ปรารถนา เพราะมันหมดกาลหมดเวลา อภิธรรมเขาว่าอย่างนั้น ว่าหมดกาลหมดเวลาไง แล้วก็ทำไปเฉยๆ ทำแล้วมันปฏิเสธ เหมือนเราทำงาน เราไม่หวังผล เราก็เหนื่อยเปล่า แต่ถ้าเราทำงาน มันได้ผลโดยธรรมชาติ ผลอันนั้นไม่ใช่ตัณหาความทะยานอยากนะ ตัณหาความทะยานอยากคือสิ่งที่มันจะไม่ได้ แล้วเราคิด เราอยากได้ เราอยากสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราปฏิเสธสิ่งที่เป็นไป นั่นคือตัณหาความทะยานอยาก

สิ่งนี้ไม่ใช่ตัณหาความทะยานอยาก สิ่งนี้มันเป็นเหตุเป็นผล เหตุและผลรวมกันแล้วเป็นธรรม ธรรมนี้เกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติของเรา ผลอันนั้นมันเป็นโดยธรรมชาติ อันนั้นส่วนหนึ่ง แต่ผลในทางหัวใจไม่เป็นอย่างนี้เลย ผลในทางหัวใจมันเกิดขึ้นแล้วมันจะเป็นของมันเอง นี่ถึงว่าเป็นปัจจัตตังไง

มันต้องรวมกันพอดี เห็นไหม มรรคอริยสัจจังหมุนไปในการประพฤติปฏิบัติของเรา มรรคมันจะเคลื่อนที่ออกไป นี้คือปัญญาเคลื่อน ปัญญาเคลื่อนออกไป ปัญญาเคลื่อนแล้ว ปัญญานี้ถึงมาชำระกิเลส มรรคสามัคคีมันรวมตัวกัน มันมาตัดเองโดยธรรมชาติของมัน ธรรมชาติที่เราสร้างขึ้นมานะ ไม่มีตัวตน ถ้ามีตัวตนนี้มันแบ่งแยกเป็นเราเป็นเขา มรรคนั้นจะไม่ทรงตัว มรรคนั้นไม่สามัคคี มรรคนั้นไม่มัชฌิมา ความไม่มัชฌิมาคือความเอนเอียงจากความเห็นของเรา การมีความเห็นมันทำให้อันนี้เอนเอียง

เขาก็ถามว่า แล้วสัมมาสมาธิกับมิจฉาสมาธิมันมีให้ผลอย่างไร เขาว่าสมาธินี้ก็เป็นมรรค สมาธินี้เป็นมิจฉา

เราบอก สมาธิมันเป็นพื้นฐาน สมาธินี้เป็นพื้นฐานนะ พื้นฐานของใจ ใจสงบร่มเย็นเป็นพื้นฐานของใจ อันนี้มันเป็นพื้นฐาน แต่มันจะสมุจเฉท มันจะฆ่ากิเลสได้ สมาธิไม่สามารถฆ่ากิเลสได้ สมาธินี้สามารถเหยียบ คือว่ากดกิเลสไว้ให้ปัญญาได้หมุนเท่านั้นเอง สิ่งที่มันจะชำระกิเลสหมายถึงว่ามันจะแก้ความ...

ทางโลกนี่เราแก้ความสงสัย เราใช้ความคิดพิจารณาเพื่อเลาะความสงสัยของเรา อันนั้นเป็นทางโลก แต่ถ้าเป็นทางธรรม ปัญญามันหมุนเข้าไป มันเป็นเนื้อใน เป็นความคิดที่ลึกๆ อยู่ภายในหัวใจ มันถึงก้นฐานของจิต แล้วมันชำระกันเอง มันตัดตรงนั้น นี่คือปัญญาชำระกิเลส ถ้ามันมีปัญญาขึ้นมา มันขับเคลื่อนของมันขึ้นไปเอง มันต้องเป็นไปโดยธรรมชาติของมัน นี่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง

ถึงบอกพระอานนท์ไว้ “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ทุกวินาที ทุกกาล ทุกเมื่อ แม้แต่หมดศาสนานี้ไป พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เกิดได้ หมดจากพระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าต้องมาเกิดต่อไป”

ในโลกนี้มีไฟ มันต้องมีน้ำ ศาสนานี่เหมือนน้ำดับไฟ ศาสนาจะเข้ามาถึงหัวใจของเรา รุ่มร้อนมาก ทำให้ร่มเย็น ถ้ามันมีน้ำขึ้นมา มันจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ ในโลกไหนถ้ามีน้ำ ในดวงดาวไหนที่มีน้ำ จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่

นี่เหมือนกัน ในเมื่อมีหัวใจของสัตว์โลกอยู่ หัวใจของสัตว์โลกมันทุกข์อยู่ หัวใจของสัตว์โลกมันเป็นธาตุรู้ ธาตุรู้สำคัญมาก ธาตุรู้นี้มหัศจรรย์มาก ธาตุรู้นี่มันจะแสวงหาทางพ้น (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)